สมัยก่อน มีธิดาของเจ้าเมืองนครแห่งหนึ่ง
มีสิริโฉมงดงาม พูดจาไพเราะอ่อนหวานอย่างยิ่ง จนเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย
อยู่มาวันหนึ่ง...นางออกมาจากที่พำนักของตน
หวังจะออกมาเยี่ยมเยียนชาวเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองของบิดา
ได้แลเห็นหญิงชราคนหนึ่ง ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมหงอกขาวโพลน เดินหลังค่อมงองุ้ม
ก็บังเกิดความสังเวชใจในสังขารที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้...
หลังจากที่นางกลับเข้าวัง เดินเข้าไปยังดูเงาตัวเองที่หน้ากระจก
พินิจพิจารณารูปโฉมอันงดงามของตนพร้อมกับครุ่นคิดถึงภาพหญิงชราคนดังกล่าว
กระทั่ง...ภาพหญิงสาวผู้งดงามในกระจก แปรเปลี่ยนเป็นหญิงแก่ชราหน้าตาน่าเกลียด
ผิวหนังเหี่ยวย่นยืนอยู่แทนที่ ก็บังเกิดความตระหนกตกใจ
น้ำตาเอ่อไหลออกมาด้วยความปลงสังเวช
‘แท้จริงสังขารร่างกายที่มองเห็นว่าสวยงามนี้...ก็หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็รู้สึกปลงในสังขาร
เลิกนุ่งห่มด้วยอาภรณ์ที่มีสีสันสวยงาม หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ถือศีลแปด
น้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติด้วยความตั้งใจ...
ภายหลังบิดาผู้เป็นเจ้าเมืองกลัดกลุ้มใจอย่างมาก
เกรงว่าธิดาของตนจะมุ่งหน้าสู่ทางธรรมจนละวางทางโลก
จึงคิดหาทางให้นางอภิเษกสมรสกับบุรุษรูปงามซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองอื่น
สุดท้าย นางจึงตัดสินใจปลงผมและหนีเข้าป่าเพื่อออกบวช
มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมนานหลายปีจนกระทั่งบรรลุอรหันต์ในที่สุด..
คำว่า ‘อรหันต์’ นั้น
มีความหมายว่า ‘ผู้ไกลจากกิเลส’ จึงไม่จำเป็นว่าผู้ที่จะปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุอรหันต์ได้นั้น
จักต้องเป็นบุรุษเสมอไป
...ในสมัยพุทธกาลหลังจากที่มีการบวชพระสงฆ์หมู่มาก
ภายหลังเหล่าสตรีผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอบวชเช่นเดียวกับพระสงฆ์
เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้ว ก็มีโอกาสได้บวชและศึกษาพระธรรม
เฉกเช่นเดียวกันทุกประการ....
ที่มา..เรื่องเล่าจากสวรรค์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น