กรรมฐาน ปลงสังขาร


วิธีรักษาโรคเหนื่อยใจ




สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑.ขณะใดจิตเหนื่อยใจ มีความอ่อนใจ ไร้กำลังต่อต้านกิเลส ขณะนั้นไม่สมควรใช้อารมณ์คิด ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นกรณีสำคัญ จักช่วยให้หายเหนื่อยใจได้

๒.อย่าลืมอานาปานัสสติ นอกจากระงับกายสังขาร คือ ระงับทุกขเวทนาแล้ว ก็ยังระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ ก็สามารถระงับได้ชั่วคราว

๓.จงหมั่นเรียนรู้ประโยชน์ของอานาปานัสสติให้มาก และจงหมั่นทำหาความชำนาญในอานาปานัสสติ ให้มาก เพราะจักทำให้จิตมีกำลัง เมื่อถอนออกมาจากฌานแล้ว จักใช้กำลังมาทำวิปัสสนาญาณ จักมีปัญญาคมกล้ามาก







๑. นั่งไม่ถูกวิธี


๒. จิตเป็นกังวล กังวลเรื่องงาน

๓. เหนื่อยมาก ไปทำงานมาเหนื่อยเหลือเกิน จิตท่านจะไม่เป็นสมาธิ แต่หายเหนื่อยเมื่อยล้าเมื่อไรก็ตั้งสติให้ได้แก่นได้

๔. ป่วย อาพาธหนัก จิตท่านจะไม่เป็นสมาธิ ท่านจะอุปาทานนึกถึงเวทนา ปวดโน้น เมื่อยนี้ ปวดหนอ ปวดเรื่อย อะไรทำนองนี้ จิตท่านจะขาดสมาธิทันที ถ้าไม่ฝึกปฏิบัติ ท่านจะไม่มีสมาธิเลย

๕. ราคะเกิด ขณะนั้นจิตท่านจะหายไป สมาธิจะไม่เกิด

๖. โทสะเกิด ท่านไม่สามารถแก้ไขโทสะได้ ไม่สามารถจะตั้งสติไว้ได้ สมาธิหนีไปหมด ท่านจะทำอะไรเสีย ขาดสมาธิ เพราะมีโทสะ โทสะสิงสถิตอยู่ในจิตใจของท่าน ปัญญาไม่เกิด แล้วท่านจะไม่มีสมาธิปฏิบัติอีก ๒๐ ปี ก็ไม่ได้ผล ไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด

๗. อารมณ์มากระทบอารมณ์เกิดกระทบสัมผัสเกิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดสัมผัสมากระทบอารมณ์จึงเสีย จิตไม่เป็นสมาธิ ไหนเลยท่านจะมีสมาธิ อวดอาตมาว่ามีสมาธิแล้ว ไม่จริง นั่งหลับตาก็ไม่รู้ว่าคนนี้สมถะหรือวิปัสสนา นั่งหลับตาอยู่ จิตออกไปโน้นไปเชียงใหม่โน่น จิตโน่นไปห่วงผัว กลัวผัวจะไปมีเมียใหม่ อะไรทำนองนี้ รับรองอีกร้อยปีท่านจะไม่ได้อะไร จิตเกิดโทสะ ถ้าท่านไม่ระงับโทสะก่อน สมาธิก็ไม่เกิดแน่นอน ขาดการกำหนดจิตจะขาดสติขาดปัญญา ไหนเลยสมาธิจะเกิดขึ้นกับตัวท่านได้

สาเหตุของจิตไม่สงบมีอยู่ ๘ ประการ โยมต้องกำหนดจดจำข้อนี้ไว้ก่อน จิตไม่สงบทำ

อะไรก็ไม่สงบ ถ้าไม่ฝึกมาก่อน จิตไม่มีสมาธิ จะไม่มีความสงบในครอบครัวเลย สาเหตุนั้นได้แก่

๑. ไม่มีพอ ตะเกียกตะกายอยู่ร่ำไป ท่านจะไม่มีความสงบในครอบครัวเลย

๒. ใช้เวลาว่างมากเกินไป ไม่เอางานเอาการ พวกประเภทนี้ พวกจิตว่าง มันว่างจิตก็ไหนไปสู่ที่ต่ำ ชีวิตจะไร้สาระไม่สงบ

๓. ถูกเบียดเบียนจิตใจ ครอบครัวไปอยู่ในหมู่บ้านที่เขาเบียดเบียนจิตใจ จิตท่านจะไม่สงบ

๔. อวัยวะไม่ตั้งอยู่ในความปกติ ปวดท้อง ปวดหัว ธาตุทั้ง ๔ ขาดไป อวัยวะไม่ปกติ ท่านจะขาดปัญญา จะสงบได้ไหม อวัยวะไม่ตั้งอยู่ในความสงบ ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างง่าย ๆ ก่อนสอนก็ต้องไปปัสสาวะก่อน ไปถ่ายอุจจาระเสียก่อน ให้มันโล่งแล้วสอนต่อไป หากจิตไม่สงบแล้ว ท่านจะสอนเด็กไม่ได้ดีเลย

๕. โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ท่านเป็นโรคสามวันดีสี่วันไข้ อยู่ในภาวะอันนั้นแน่นอนที่สุด

๖. ถูกสิ่งแวดล้อมดึงไปในทางชั่ว เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนเลว คนพาน สันดานบาป ดึงทุกวัน ดึงทุกเวลา จะไม่เกิดความสงบเลย

๗. ครอบครัวไม่มีความสุข ทะเลาะกันทุกวันจิตท่านจะไม่สงบ

๘. มัวเมาในอบายมุข เล่นการพนันไม่พัก เที่ยวสรวลเสเฮฮาในสังคมตลอดรายการ จิตท่านจะไม่สงบเลย นี่แหละจำไว้

การบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลอะไรก็ไม่ดีเท่าการเจริญพระกรรมฐานอีกแล้ว เพราะเป็นบุญที่สูง

ที่สุดในพระพุทธศาสนา จะเห็นทางมรรคมรรคา มองเห็นทางเดินที่ถูกต้องคือ มรรค ๘ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มีสติระลึกเสมอ สัมปรัญญะรู้ตัวเสมอ ทำอะไรรู้กาลเทศะ บาปบุญคุณโทษ รู้ว่าดีชั่วเป็นประการใด มันจะเกิดขึ้นแก่ตัวเองนั่นคือ ปัญญา ได้แก่ความไม่ประมาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



************************



แหล่งที่มา :

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม). ๒๕๕๐. ธรรมรักษา ๒. หจก. โรงพิมพ์คลัง

นานาวิทยา. ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จ.ขอนแก่น (สาขาวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) ขอนแก่น.

หน้า ๒๔-๒๖.



เผยแพร่เป็นธรรมทาน

เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท มิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าที่ เจ้าทาง แม่นางธรณี ผีบ้าน ผีเรือน ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ สัมภเวสีทั้งหลาย และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวง

ขอให้ท่านทั้งหลายจงอนุโมทนาในบุญกุศลนี้ และจงได้รับในบุญกุศลนี้โดยทั่วหน้ากันเทอญ.

ถ้าท่านมีทุกข์ ขอให้ท่านพ้นทุกข์ ถ้าท่านมีสุขอยู่แล้ว ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น
เขียนโดย เสาวภางานพิมพ์ ที่ 20:45 







ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง
มีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้น
เข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตน
ที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงแก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด

วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบาง
รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเอง
ที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในขณะที่ในวันหนึ่งๆ เจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลย

เจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า

ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้า
พวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย
ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที

เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า

โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ?
เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิอ้วนอุ้ยอ้ายและยังตัวสั้นเตี้ย
แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนักๆ นี้ไว้ตลอดเวลาเลย
กว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหนๆ
แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน

เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า

เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่า
ข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
และมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ

ไม่จริง พวกเจ้าโกหกไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยาก
บอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ ข้าจะได้พักผ่อนเสียที
เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง

เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กัน โดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาว
ขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาที
ส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อนๆ เดินตามหน้าที่ใหม่
มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น

ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกิดความประหลาดใจมาก
ที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ

กึก...กึก..........กึก........ เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือก
เมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา

โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?” เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น

แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่
ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้
เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ

เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน
นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะ
แต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ
ที่พวกเราจะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง
โดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม” เจ้าเข็มยาวบอก

ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป
เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด

แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม

เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขาสามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้ว
เขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้นไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิม
เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงาม
ตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข

[ Forward mail : Web Admin ]

คัดลอกจาก...
http://www.med.cmu.ac.th/ethics/story/story046.htm




* วันนี้มีเรื่องราวดี ๆเพื่อมาช่วยเติมคุณค่า ให้ข้อคิดแก่ชีวิต เขียนโดย
ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากหนังสือ ชีวิตงาม เล่มที่ 8 หน้าที่ 41*


มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทุกๆ เช้า
ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
เพื่อนบ้านเรานี่ ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน
ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร
หรือใช้วิธีซักอย่างไร

สามีก็ตอบว่า อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน
แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้า และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า
เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว...

ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด
อยากรู้เหลือเกินว่า
เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร..

สามีหัวเราะและกล่าวว่า นี่..ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน
เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด ไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด.. ก่อนหน้านี้
กระจกมันสกปรก
เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความ สกปรก ! ...

มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป
เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว
แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก
เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบๆ ตัวเรา
เราต้องเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว... สิ่งที่เราเห็น
มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
และจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว
จิตใจก็ไม่สงบ
เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์

ดังนั้น ให้เราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี
จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข...