โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 ท่าน
คือ พ.อ.อ.สายศิริรัตน์และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ไปร่วมงานพิธี 100 ปี หลวงปู่ปาน ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี 
ในวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่ามีพระสุปฏิบันโน ระดับสูงจากภาคเหนือมาร่วมในงานพิธีมากมาย
อาทิเช่น หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสน(เล็ก) วัดดอนมูล หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
หลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่สิม หลวงปู่บุดดาและหลวงปู่มหาอำพันจากวัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯเป็นต้น
(ความจริงมีมากกว่านี้ แต่เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานมาก และข้าพเจ้าเกรงจะเกิดการผิดพลาดขึ้น
จึงมิกล้าเอ่ยถึงท่านอื่นๆ อีก)
เมื่อใกล้เวลาที่หลวงพ่อจะขึ้นศาลา ข้าพเจ้าและผู้ติดามก็พากันรีบขึ้นไปรอหลวงพ่ออยู่บนศาลา
ร่วมกับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่อย่างแน่นขนัด
และต่างก็ชะเง้อมองลงไปดูขบวนแห่ของหลวงพ่อซึ่งเมื่อเห็นก็บังเกิดอาการขนลุกซู่
เพราะภาพที่ปรากฏก็คือ หลวงพ่อของเราประทับนั่งอยู่บนเสลี่ยงเป็นสง่า
และรอบๆเสลี่ยงนั้นมีหลวงปู่ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วข้างต้น
เดินตามมาด้วยอาการสงบเสงี่ยมเสมือนหนึ่งขุนศึกถวายอารักขาจอมทัพฉะนั้น
(นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นในจิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นจริงๆ
มิใช่มากล่าวเยินยอหลวงพ่อที่เป็นอาจารย์เกินเหตุ)
เมื่อเสลี่ยงของหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลา และเคลื่อนใกล้มายังจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยงมีผิวสีดำและเคี้ยวหมากอีกด้วย
(ตามปกติหลวงพ่อจะไม่ฉันหมาก) จิตในตอนนั้นของข้าพเจ้า
ก็บังเกิดความอยากได้ชานหมากที่หลวงพ่อกำลังขบเคี้ยวอยู่ขึ้นมาอย่างรุนแรง
และคิดว่าหากได้มาข้าพเจ้าจะกินและกลืนลงท้องทันที น่าจะเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็อุบัติขึ้น กล่าวคือ หลวงพ่อคายหมากที่กำลังขบฉันอยู่
ลงในฝ่ามือแล้วพูดดังๆ ว่า “เอ้า คุณมนูญ เอาไป”พร้อมกับปาชานหมากนั้
มาทางกลุ่มของข้าพเจ้าซึ่งเบียดอยู่กับศิษย์
อื่นๆ แน่นขนัดข้าพเจ้าในขณะนั้นทำอะไรไม่ถูก เพียงแต่ยกแขนแบมือขึ้นเหนือศีรษะ
ท่ามกลางฝ่ามือของผู้อื่นเป็นจำนวนมากที่กระโดดขึ้นแย่งชานหมากที่ลอยมา
แต่ทว่าหมากของหลวงพ่อคำนั้นกลับมาตกอยู่ในฝ่ามือของข้าพเจ้าที่ยกชูขึ้นเฉยๆ ทั้งคำ
โดยมิได้กระจายหรือตกไปเป็นของผู้ใดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งข้าพเจ้าก็รับเอาใส่ปาก
และเคี้ยวกลืนลงไปตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกโดยทันทีท่ามกลางความประหลาดใจ
แก่ผู้ที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างยิ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าดังกล่าวนี้
ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคิดว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้า
ในขณะนั้นว่า อยากได้ชานหมากที่ท่านกำลังขบเคี้ยวเป็นอย่างยิ่งจึงโยนให้มา
และการที่หลวงพ่อจะรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าได้หลวงพ่อก็ต้องได้เจโตปริยญาณ อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นหลวงพ่อจะต้องทรงอภิญญาด้วย จึงสามารถบังคับชานหมากทั้งคำ
มิให้แตกกระจายและหลบเลี่ยงจากการไขว่คว้าของผู้อื่น
จนกระทั่งมาตกลงบนฝ่ามือของข้าพเจ้าได้ดังที่ตั้งใจจะให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีกด้วย

อีกครั้งหนึ่ง พออากาศตรีเรวัตร วิริยพงศ์(ยศในตอนนั้นขณะที่เป็นเจ้ากรมจเรทหารอากาศ)
และนาวาอากาศเอกสมชาย ถึงพุ่ม(ยศในตอนนั้น ขณะที่เป็นรองเจ้ากรมจเรทหารอากาศ)
ได้พากันมาที่บ้านพักของข้าพเจ้าในกองบิน 4 ตาคลีตอนเย็นหลังจากการปฏิบัติภารกิจ
ตรวจเยี่ยมกองบินของกรมจเรฯทั้งนี้เพราะทั้งสองท่านมีความศรัทธาธรรมเลื่อมใสในหลวงพ่อมาก
และได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากกองบินฯในตอนพลบค่ำ เพื่อไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง
จึงอยากจะขอติดตามไปด้วย ระหว่างที่รอเวลาออกเดินทาง ท่านทั้งสองก็เล่าถึงความในใจ
ให้ข้าพเจ้าฟังว่า การไปคราวนี้ตั้งใจจะเรียนถามปัญหาธรรมะที่ยังเคลือบแคลงสงสัย
ในหลายๆเรื่องจากหลวงพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าก็แนะนำไปว่าให้เรียนถามท่าน
หลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติกรรมฐานแล้วเพราะจะเป็นช่วงที่หลวงพ่อสอนศิษย์
และให้ศิษย์สอบถาม ทั้งสองก็เข้าใจ ปรากฏว่าในคืนนั้นหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์
นั่งปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จ หลวงพ่อก็สอนทุกคนนานผิดปกติ และเมื่อสอนเสร็จ
หลวงพ่อก็หันไปพูดกับนาวาอากาศเอกสมชายว่า“เป็นยังไง จะคิดปฏิวัติใจหรืออย่างไร
จึงมีปัญหามากมายนัก ยังจะมีข้ออันใดที่สงสัยอีกไหม? ” นาวาอากาศเอกสมชาย
ก็พนมมือตอบหลวงพ่อว่า “ที่ผมและเจ้ากรมเรวัตร คุยถกเถียงกันถึงปัญหาธรรมะมาโดยตลอดนั่น
หลวงพ่อได้ตอบไปทั้งหมดแล้ว จนไม่มีข้อสงสัยใดใดที่จะต้องสอบถามอีกแล้วครับ”
เป็นอันว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของท่านทั้งสองว่าสงสัยอะไรบ้าง
และการรู้อารมณ์จิตของผู้นั้น หลวงพ่อได้แสดงให้ศิษย์รุ่นต่อๆ มาเห็นมามากต่อมาก
หากข้าพเจ้าจะนำมาเล่าก็คงไม่รู้จบ จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้

ที่มา หนังสือสู่แสงธรรม

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น